ทุกวันนี้คำถามที่เราเจอหน้ากันทุกวันก็จะมีคำถามว่า “สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง” เป็นคำถามส่วนใหญ่จนกระทั้งเริ่มมีคำถามใหม่เกิดขึ้นมาแบบที่เราคิดไม่ถึง “วันนี้มีความสุขไหม” หลายคนที่ได้ยินกับคำตอนนี้ มันก็จะเกิดคำตอบขึ้นมาทันที 2 มุม คนคิดบวกกับคนคิดลบก็จะมองต่างมุมกันไป ถ้าคนคิดบวกก็จะตอบแบบรอยยิ้มได้พูดคุยกันต่ออย่างมีความสุข แต่ถ้าคนที่คิดลบ เขาจะเกิดคำถามขึ้นในใจทันที ทำไมถามแบบนี้ ถามทำไม คำถามเพียงคำเดียวแต่กลับมีคำตอบกลับมาอย่างมากมาย แล้วความเป็นจริงคำถามนี้ผิดหรือถูก แล้วคุณเคยเจอทำถามนี้บ้างไหม
“วันนี้มีความสุขไหม” หรือ “วันนี้มีความสุขหรือยัง” คำถามเหล่านี้เป็นตัวบอกว่าเราได้ลืมความสุขของเราไปแล้ว เพราะเรามัวแต่ถึงแต่เรื่องเงิน เรื่องงาน หลายคนมีลูกแล้วก็คิดถึงแต่เรื่องลูกจนลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราก็หาความสุขกับการใช้ชีวิตประจำวันได้เช่นกัน เมื่อได้ลองหันกลับมาดูก็จะมองออกได้ว่าความสุขของเรานั้น ตลอดทั้งวันเราพลาดอะไรไปบ้าง พอมาคิดแล้วก็อาจจะเสียดายไปบ้างเพราะเราได้ทิ้งความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรให้เรามีความสุขในระหว่างวันเพิ่มขึ้นเหมือนคนที่กำลังถามเราบ้าง
เราต้องทำตามแบบคนที่มีรอยยิ้มและมีความสุขระหว่างวันแบบเขา คนที่มีความสุขได้ในทุกวัน จะต้องทำ 3 สิ่งนี้
1.เปิดได้ก็ต้องปิดให้เป็น
การเปิดก็คือการเปิดรับสิ่งต่างๆ รอบตัวเข้ามาหาเรา อย่างที่เราทำงานเราก็ต้องเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นที่จะเข้ามา งานทุกอย่างเราต้องทำกันอย่างมีระบบ ถ้าเราไม่เปิดรับฟังจากผู้ร่วมงานเราก็จะไม่ได้ผลงานที่ดี ไม่สามารถที่จะต่อยอดงานไปกับเขาได้ แล้วการปิดก็ต้องทำเป็นระบบเช่นกัน อย่างเช่นช่วงเวลาเบรก พักเที่ยงเราก็ต้องปิดสมองจากเรื่องงานออกไปบ้าง อาจจะเป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ มันก็คือความสุขที่เราได้รับเช่นกัน ความสุขนั้นอยู่กับเราไม่นาน เพราะเราจะใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อการทำมาหากิน เราจะมีความสุขมากไปก็ไม่ดี มีน้อยไปก็ไม่พอ ต้องปิดและเปิดความรู้สึกให้เป็นถ้าเรามีปัญหากับใครคนใดคนหนึ่ง ก็ต้องไม่ไปลงที่อีกคน เพราะนั้นคือการปิดไม่เป็น ไม่เพียงแค่เราทุกข์เท่านั้นรวมไปถึงคนอื่นก็ทุกไปด้วย
2.เปิดใจรับฟังสิ่งใหม่ๆ
ไม่ว่าใครจะเป็นชอบพูดชอบคุยแบบไหนเราก็ควรรับฟังเรื่องราวต่างๆ บ้าง หลายคนที่ชอบฟังคนอื่นพูดเพราะมีความสุขกับการได้ฟัง อย่างเช่นเรายอมเสียเงินหลายร้อยหลายพัน เพื่อไปฟังคนพูดแค่คนเดียว แต่ก็น่าแปลกที่คนพูดนั้นก็สามารถทำให้คนที่มาฟังนับพันนับหมื่นคน ทำให้เขาเหล่านั้นมีความสุขได้ แค่นี้ก็พอที่จะสรุปได้ว่าการที่เราเป็นผู้ฟังนั้นมีความสุขมากกว่าการได้พูด เมื่อไหร่ที่เราพูดจะมีจุดหนึ่งที่เราได้หลุดและพลาดออกไป ตรงนั้นคือสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ และผู้ฟังก็อาจจะคิดไปไกลกว่าที่เราได้พูดก็ได้เช่นกัน
3.ยิ้มให้มากกว่าทำหน้าบึ้ง
หลายคนอาจจะบอกว่าการทำหน้ายิ้มนั้นบางครั้งก็ทำอยากเพราะไม่อยากที่จะยิ้มให้กับคนที่เราไม่ชอบ ถ้าเป็นแบบนี้ยิ่งจำเป็นต้องยิ้มให้มากกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะยิ่งเราไม่ชอบเขาเรายิ่งต้องแสดงความมีน้ำใจกับเขา แล้วเราจะได้รู้จักเขาจริงๆ แค่ยิ้มด้วยความจริงใจแล้วผ่านไป เขาจะทำหรือคิดอย่างไรก็แล้วแต่เขา คนรอบข้างจะเป็นคนตัดสินใจให้กับเราเองต่างหาก คนทำดีไม่จำเป็นต้องเด่นแต่ควรทำด้วยความจริงใจ ทำแล้วไม่ต้องหวังผลตอบแทน ถ้าเราหัดทำทุกอย่างจริงใจไว้ ไม่นานเราก็จะมีคนรักและคนชอบมากขึ้น เรียกว่าเป็นคนมีเสน่ห์นั้นเอง
ในความเป็นจริงคำถามที่ว่า “มีความสุขไหม” เป็นคำถามที่ควรถามกันให้เยอะที่สุด เพราะความเป็นห่วง คนทำงานก็จะซึมกับการทำงานแบบไม่รู้ตัว วันๆก็จะพูดแต่เรื่องงานจนไม่รู้ตัว ต้องเริ่มที่จะปล่อยวางและทิ้งงานไปบางช่วงเวลาบ้าง อย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมงถือเป็นการเริ่มต้น แล้วค่อยพัฒนาในการปิดเปิดสมองให้แข็งแรงขึ้น ความสุขจะอยู่กับเรามากขึ้น ยิ่งเราสามารถทำให้ทุกอย่างรอบตัวมีความสุขเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ผลงานและคนรอบตัวก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
หลายคนที่กำลังหาทางที่จะตามหาความสุขกลับมา ไม่ยากเลยเพียงแค่ทิ้งเรื่องที่กำลังทำลงไปก่อนแล้วจัดสรรใหม่ อย่างคนที่มีหนี้สินมากๆ ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอส่งหนี้ มีเท่าไหร่เจ้าหนี้ก็จะมาเอาไปหมด จนทางบ้านก็เดือดร้อน จะกินก็ไม่พอที่จะกิน เริ่มเครียดเจ้าหนี้ก็กดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลาแล้วที่เราไม่ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมทั้งหมด แต่ต้องทำทุกอย่างให้พอเหมาะ เพราะถ้าเราพลาดไปหนี้ก็ไม่ได้ใช้ เจ้าหนี้ก็ลำบาก เอาความสุขเล็กๆ กลับมาก่อนเมื่อมีความสุขการทำงานก็ดีเงินก็จะไหลมาเทมา ลดการจ่ายหนี้บางอย่างแล้วก็หาเหตุผลเข้าช่วย เชื่อได้ว่าเมื่อเราคุยกับเจ้าหนี้ทุกคนอย่างเข้าใจ ต่างคนก็ต่างมีความสุขแน่นอน